prambook
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556
เทคนิค
ทคนิคง่ายๆ ก็คือ
1."ลด ละ เลิก" ในสิ่งที่คิดว่าทำไปแล้วเสียเวลาป่าวๆ เช่นเดียวกับผม เพราะ ผมยอมทิ้งสิ่งที่ผมรักมากๆเพื่อสอบ เช่น ดนตรี การเต้น การร้องเพลง การเที่ยวเล่น การจีบสาว เพราะเวลาทุกวินาทีมีค่า คนเราทุกคนมีเวลาเท่ากันอยู่ที่ว่าจะจัดสรรค์ให้คุ้มค่ามากแค่ไหน
2."วางแผน"การทำกิจกรรมต่างๆในแต่ล่ะวันไว้ โดยที่ต้องปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ควรวางแผนเว่อร์ไป เพราะเราจะทำไม่ได้และท้อถอย และไม่ควรง่ายไปเพราะมันจะสบายไปเราจะไม่ใส่ใจ ควรมีบทลงโทษให้กับตัวเองในกรณีที่เราหลุด ไม่ทำตามแผนที่ตั้งไว้ และ ควรมีเวลาพักผ่อน อย่างน้อย ชั่วโมงล่ะ 10 นาที
3."ทำตารางเวลา"ว่าในเวลานี้ทำอะไร ยังไง เพื่อความเปนระเบียบในการดำรงชีวิต เช่น การตื่น การนอน การไปเรียน การเลิกเรียน เป็นต้น
4."เวลาในการอ่านหนังสือ"ไม่สำคัญว่าจะมากหรือน้อย แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเข้าใจ(อย่างลึกซึ้ง)หรือเปล่า
5."สรุป องค์ความคิดเป็นของตัวเอง"ในการอ่านเนื้อหาต่างๆ บางครั้งเราอาจจะลืมได้ แต่การที่เรา ตั้งเป็นองค์ความรู้ของตัวเอง มันทำให้เราจำได้ดียิ่งขึ้น
6."สร้างกำลังใจให้ตัวเอง" ผม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่เคยท้อ เราทุกคนเคยท้อมาเหมือนกัน แต่เราจะสามารถกำจัดความรู้สึกนี้ออกไปได้เร็วแค่ไหนกันล่ะ บางที่เราก็ต้องหากำลังใจมาเติมให้เรามีแรงสู้อีกครั้ง เช่น อาจะคุยกับรุ่นพี่ที่ติดไปแล้ว อาจจะดูภาพกิจกรรมต่างๆของ รร.เตรียมทหาร ฟังเพลงเพื่อใ้ห้กำลังใจตัวเอง เป็นต้น
7. "ถ้าสร้างไม่สำเร็จก็หาคนมาช่วยสร้างสิ" กำลัง ใจจากคนอื่น และคำประมาท จากคนอื่น มีผลกับเรามากนะคับ การที่คนอื่นว่าให้เรา เราไม่ต้องไปโกรธเขานะคับ ให้เราถือว่าเขาชมเราและเอาคำด่านั้นมาแก้ไขตัวเอง
และอีกอย่าง "แฟน" มีได้คับ ไม่เสียหายอะไร แต่ เราต้องแบ่งให้ออกว่า อันไหน เปนอันไหน อย่าหมกหมุ่นเกินไป
8."พยายามอ่านให้มาก"อ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็ อ่าน เพราะเราอ่านแล้วเรารู้ถึงแม้ว่าเรื่องบางเรื่องมันอาจไม่เกี่ยวกับการสอบ แต่เรารู้ไว้ก็จะเปนความรู้ติดตัวเราไป ไม่มีอะไรเสียหาย เผลอๆเราอาจได้นำความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นได้
9."เรียนบ้าง โดนบ้าง" ข้อนี้ไม่ค่อยแนะนำเท่าไรเพราะมันเปนสิ่งที่ไม่ ดีแต่ ผมจะทำ เพื่อ อนาคตของผม เพราะว่าการที่เราโดนเรียนไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไปเพราะมันทำให้เรามีเวลาว่างในหารอ่านหนังสือมากขึ้น อย่างผม ผมโดนเรียนกับเพื่อนอีก สอง สาม คน มานั้งทำโจทย์กันมาอ่านหนังสือ กัน แต่อาจทำอาจารย์เสียใจที่เราทำไป แต่ไม่เป็นไร ถ้าเราติดขึ้นมาค่อยมาขอโทดอาจารย์เขา เขาให้อภัยเราแน่ (ข้อนี้ไม่แนะนำให้ผู้ที่ไม่ตั้งใจจิง) เพราะ ม.4 เราสามารถสอบได้อีกหลายครั้ง แต่น้องๆ ม.3 อย่าพึ่งทำนะ เด๋วไม่จบ
10."ฝึกร่างกายเปนประจำ" แรกๆอาจจะ อาทิตย์ละครั้ง พอเริ่มใกล้สอบมากเท่าไรก็ยิ่งถี่มากขึ้นตามกัน มันจะมำให้เรา สอบรอบสองได้คะแนนดีขึ้น
11."พักผ่อนบ้าง"เราทุกคนก็ต้องการการพักผ่อนเปนธรรมาดา เพราะเราเป็นมนุษย์มีหัวใจ มีความรู้สึก ถ้าวันไหนรู้สึกว่า อ่านเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ไม่จำสักที ก็ให้พักผ่อนบ้างคับ อาจไปเล่นกีฬ า เล่นดนตรี ทำกิจกรรมอื่นๆแล้วค่อยกลับมาทำต่อ เชื่อว่า จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนคับ (ไม่ควรพักนานเกินไป)
สุดท้่ายนี้ผม ก็ขอฝากไว้ว่า การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าเรามีความพยายาม สักวันมันต้องสำเร็จ ขอให้ทุกคนจงสู้ต่อไปนะคับ
คิดว่าฟอรั่มนี้ อาจจะเปนประโยขน์ไม่มากก็น้อยคับ ขอบคุณคับ
"ไม่มีชัยชนะใด ยิ่งใหญ่ เท่า ชนะใจตนเอง"
สู้ต่อไปเพื่อไปเป็นรุ่น 57 ให้ได้
1."ลด ละ เลิก" ในสิ่งที่คิดว่าทำไปแล้วเสียเวลาป่าวๆ เช่นเดียวกับผม เพราะ ผมยอมทิ้งสิ่งที่ผมรักมากๆเพื่อสอบ เช่น ดนตรี การเต้น การร้องเพลง การเที่ยวเล่น การจีบสาว เพราะเวลาทุกวินาทีมีค่า คนเราทุกคนมีเวลาเท่ากันอยู่ที่ว่าจะจัดสรรค์ให้คุ้มค่ามากแค่ไหน
2."วางแผน"การทำกิจกรรมต่างๆในแต่ล่ะวันไว้ โดยที่ต้องปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ควรวางแผนเว่อร์ไป เพราะเราจะทำไม่ได้และท้อถอย และไม่ควรง่ายไปเพราะมันจะสบายไปเราจะไม่ใส่ใจ ควรมีบทลงโทษให้กับตัวเองในกรณีที่เราหลุด ไม่ทำตามแผนที่ตั้งไว้ และ ควรมีเวลาพักผ่อน อย่างน้อย ชั่วโมงล่ะ 10 นาที
3."ทำตารางเวลา"ว่าในเวลานี้ทำอะไร ยังไง เพื่อความเปนระเบียบในการดำรงชีวิต เช่น การตื่น การนอน การไปเรียน การเลิกเรียน เป็นต้น
4."เวลาในการอ่านหนังสือ"ไม่สำคัญว่าจะมากหรือน้อย แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเข้าใจ(อย่างลึกซึ้ง)หรือเปล่า
5."สรุป องค์ความคิดเป็นของตัวเอง"ในการอ่านเนื้อหาต่างๆ บางครั้งเราอาจจะลืมได้ แต่การที่เรา ตั้งเป็นองค์ความรู้ของตัวเอง มันทำให้เราจำได้ดียิ่งขึ้น
6."สร้างกำลังใจให้ตัวเอง" ผม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่เคยท้อ เราทุกคนเคยท้อมาเหมือนกัน แต่เราจะสามารถกำจัดความรู้สึกนี้ออกไปได้เร็วแค่ไหนกันล่ะ บางที่เราก็ต้องหากำลังใจมาเติมให้เรามีแรงสู้อีกครั้ง เช่น อาจะคุยกับรุ่นพี่ที่ติดไปแล้ว อาจจะดูภาพกิจกรรมต่างๆของ รร.เตรียมทหาร ฟังเพลงเพื่อใ้ห้กำลังใจตัวเอง เป็นต้น
7. "ถ้าสร้างไม่สำเร็จก็หาคนมาช่วยสร้างสิ" กำลัง ใจจากคนอื่น และคำประมาท จากคนอื่น มีผลกับเรามากนะคับ การที่คนอื่นว่าให้เรา เราไม่ต้องไปโกรธเขานะคับ ให้เราถือว่าเขาชมเราและเอาคำด่านั้นมาแก้ไขตัวเอง
และอีกอย่าง "แฟน" มีได้คับ ไม่เสียหายอะไร แต่ เราต้องแบ่งให้ออกว่า อันไหน เปนอันไหน อย่าหมกหมุ่นเกินไป
8."พยายามอ่านให้มาก"อ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็ อ่าน เพราะเราอ่านแล้วเรารู้ถึงแม้ว่าเรื่องบางเรื่องมันอาจไม่เกี่ยวกับการสอบ แต่เรารู้ไว้ก็จะเปนความรู้ติดตัวเราไป ไม่มีอะไรเสียหาย เผลอๆเราอาจได้นำความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันก็เป็นได้
9."เรียนบ้าง โดนบ้าง" ข้อนี้ไม่ค่อยแนะนำเท่าไรเพราะมันเปนสิ่งที่ไม่ ดีแต่ ผมจะทำ เพื่อ อนาคตของผม เพราะว่าการที่เราโดนเรียนไม่ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไปเพราะมันทำให้เรามีเวลาว่างในหารอ่านหนังสือมากขึ้น อย่างผม ผมโดนเรียนกับเพื่อนอีก สอง สาม คน มานั้งทำโจทย์กันมาอ่านหนังสือ กัน แต่อาจทำอาจารย์เสียใจที่เราทำไป แต่ไม่เป็นไร ถ้าเราติดขึ้นมาค่อยมาขอโทดอาจารย์เขา เขาให้อภัยเราแน่ (ข้อนี้ไม่แนะนำให้ผู้ที่ไม่ตั้งใจจิง) เพราะ ม.4 เราสามารถสอบได้อีกหลายครั้ง แต่น้องๆ ม.3 อย่าพึ่งทำนะ เด๋วไม่จบ
10."ฝึกร่างกายเปนประจำ" แรกๆอาจจะ อาทิตย์ละครั้ง พอเริ่มใกล้สอบมากเท่าไรก็ยิ่งถี่มากขึ้นตามกัน มันจะมำให้เรา สอบรอบสองได้คะแนนดีขึ้น
11."พักผ่อนบ้าง"เราทุกคนก็ต้องการการพักผ่อนเปนธรรมาดา เพราะเราเป็นมนุษย์มีหัวใจ มีความรู้สึก ถ้าวันไหนรู้สึกว่า อ่านเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ไม่จำสักที ก็ให้พักผ่อนบ้างคับ อาจไปเล่นกีฬ า เล่นดนตรี ทำกิจกรรมอื่นๆแล้วค่อยกลับมาทำต่อ เชื่อว่า จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนคับ (ไม่ควรพักนานเกินไป)
สุดท้่ายนี้ผม ก็ขอฝากไว้ว่า การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ถ้าเรามีความพยายาม สักวันมันต้องสำเร็จ ขอให้ทุกคนจงสู้ต่อไปนะคับ
คิดว่าฟอรั่มนี้ อาจจะเปนประโยขน์ไม่มากก็น้อยคับ ขอบคุณคับ
"ไม่มีชัยชนะใด ยิ่งใหญ่ เท่า ชนะใจตนเอง"
สู้ต่อไปเพื่อไปเป็นรุ่น 57 ให้ได้
รวมตัวอย่างข้อสอบ
http://www.cmcadet.com/test.php
http://www.chakdao.com/ddownloadslist.php?showmaster=dsections&Dsec_ID=11
http://www.greatcadettutor.com/index.php?option=com_content&view=category&id=9&Itemid=57
http://www.thaicadet.org/KnowledgeOnline.html
http://www.chakdao.com/ddownloadslist.php?showmaster=dsections&Dsec_ID=11
http://www.greatcadettutor.com/index.php?option=com_content&view=category&id=9&Itemid=57
http://www.thaicadet.org/KnowledgeOnline.html
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
สนามแม่เหล็กโลก กับวันสิ้นโลก
เป็นที่ทราบกันมาเป็นเวลานานว่า
ขั้วเหนือของแกนหมุนของโลกกับขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกไม่ได้อยู่ที่
เดียวกัน ขั้วเหนือของแกนหมุนอยู่ที่ละติจูด 90 องศา
บนแผ่นน้ำแข็งของมหาสมุทรอาร์กติก
ส่วนขั้วเหนือแม่เหล็กโลกอยู่ในเขตของประเทศแคนาดา เจมส์ รอสส์
สำรวจตำแหน่งของขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเป็นครั้งแรกในปี 1831
ในการสำรวจครั้งต่อมาในปี 1904 โดย โรอาลด์ อามุนด์เซน
พบว่าตำแหน่งของขั้วเหนือเปลี่ยนไปจากเดิมราว 50 กิโลเมตร
จึงได้ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนตำแหน่งด้วย
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมาตำแหน่งขั้วเหนือก็ยังคงเคลื่อนที่เรื่อย ๆ ด้วยอัตรา 10 กิโลเมตรต่อปี แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เคลื่อนที่เร็วถึง 40 กิโลเมตรต่อปี หากอัตราเคลื่อนที่ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ขั้วเหนือจะหลุดพ้นออกจากทวีปอเมริกาเหนือและไปอยู่ที่ไซบีเรียภายในอีกไม่ กี่สิบปีเท่านั้น
แลร์รี นูวิตต์จากคณะสำรวจทางธรณีวิทยาของแคนาดา กล่าวว่า เดิมตนมีหน้าที่ไปสำรวจวัดตำแหน่งของขั้วเหนือหลายๆ ปีต่อครั้ง แต่ในช่วงหลังจะต้องไปบ่อยขึ้นเนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วมาก
ไม่เพียงแต่ตำแหน่งของขั้วเปลี่ยนไปเท่านั้น ความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกยังลดลงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาอีกด้วย
หลังจากที่ข้อมูลนี้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนในที่ประชุมสหภาพธรณีฟิสิกส์ อเมริกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่องถึงกับเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ทันทีว่า "สนามแม่เหล็กโลกกำลังหมดหรือ?"
แกรี แกลตซ์มายเยอร์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ออกมายับยั้งกระแสว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับในอดีต
ในอดีตสนามแม่เหล็กโลกเคยมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กว่านี้มาก ถึงขนาดสนามแม่เหล็กสลับขั้วก็เคยเกิดมาแล้ว ขั้วเหนือกลายเป็นขั้วใต้ ขั้วใต้กลายเป็นขั้วเหนือ หลักฐานของการเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏชัดในหินโบราณ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เพียงครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและคาดการณ์ไม่ได้ ปรกติการสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นทุก 300,000 ปีโดยเฉลี่ย ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว
หรือว่าการเร่งความเร็วของขั้วแม่เหล็กโลกในช่วงหลังนี้จะเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่สนามแม่เหล็กโลกจะสลับขั้วอีกครั้งแล้ว?
จากการศึกษาบันทึกแม่แหล็กในแผ่นหินพบว่า ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกมีการเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่ตลอดเวลา และความจริงแล้วสนามแม่เหล็กโลกในขณะนี้มีความเข้มมากกว่าความหนาแน่นเฉลี่ย ในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า
ใจกลางโลกมีแกนชั้นในเป็นเหล็กแข็งที่มีอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับพื้นผิว ดวงอาทิตย์ ห่อหุ้มด้วยแกนชั้นนอกที่เป็นเหล็กหลอมเหลว แกนชั้นในหมุนรอบตัวเองเช่นเดียวกับผิวโลกแต่เร็วกว่าภายใต้แกนชั้นนอกที่ ปั่นป่วน การเคลื่อนที่ของเหล็กหลอมเหลวที่แกนโลกชั้นนอกทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้า ขึ้น สนามแม่เหล็กจึงเกิดขึ้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าปรากฏการณ์ไดนาโม
แกลตซ์มายเยอร์ และ พอล รอเบิตส์ ได้สร้างแบบจำลองของโครงสร้างภายในโลกด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยให้ความร้อนกับแกนชั้นในและแกนชั้นนอกปั่นป่วนเช่นเดียวกับของจริง หลังจากให้โปรแกรมวิ่งผ่านไปโดยจำลองให้เวลาผ่านไปเป็นเวลานับแสนปี พบว่าสนามแม่เหล็กของโลกจำลองนี้มีการเพิ่มและลดลง ขั้วแม่เหล็กมีการเคลื่อนที่ และบางครั้งก็มีการสลับขั้ว ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดกับโลกจริง
นอกจากนี้ยังพบว่าช่วงที่สนามแม่เหล็กสลับขั้วใช้เวลานานหลายพันปีจึงจะ เสร็จสิ้น และสิ่งที่เหนือความคาดการณ์ของคนทั่วไปก็คือ ช่วงนี้สนามแม่เหล็กไม่ได้หายไป แต่มีความปั่นป่วนซับซ้อนมากขึ้น เส้นแรงแม่เหล็กบริเวณพื้นผิวโลกมีการบิดเบี้ยวและขมวดปม ขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกที่ ขั้วใต้อาจเกิดขึ้นที่แอฟริกา หรือขั้วเหนืออาจผุดขึ้นที่ตาฮีตี แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด สนามแม่เหล็กก็ยังคงมีเหมือนเดิม และยังคงปกป้องโลกจากรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมาตำแหน่งขั้วเหนือก็ยังคงเคลื่อนที่เรื่อย ๆ ด้วยอัตรา 10 กิโลเมตรต่อปี แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เคลื่อนที่เร็วถึง 40 กิโลเมตรต่อปี หากอัตราเคลื่อนที่ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ขั้วเหนือจะหลุดพ้นออกจากทวีปอเมริกาเหนือและไปอยู่ที่ไซบีเรียภายในอีกไม่ กี่สิบปีเท่านั้น
แลร์รี นูวิตต์จากคณะสำรวจทางธรณีวิทยาของแคนาดา กล่าวว่า เดิมตนมีหน้าที่ไปสำรวจวัดตำแหน่งของขั้วเหนือหลายๆ ปีต่อครั้ง แต่ในช่วงหลังจะต้องไปบ่อยขึ้นเนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วมาก
ไม่เพียงแต่ตำแหน่งของขั้วเปลี่ยนไปเท่านั้น ความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกยังลดลงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาอีกด้วย
หลังจากที่ข้อมูลนี้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนในที่ประชุมสหภาพธรณีฟิสิกส์ อเมริกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่องถึงกับเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ทันทีว่า "สนามแม่เหล็กโลกกำลังหมดหรือ?"
แกรี แกลตซ์มายเยอร์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ออกมายับยั้งกระแสว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับในอดีต
ในอดีตสนามแม่เหล็กโลกเคยมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กว่านี้มาก ถึงขนาดสนามแม่เหล็กสลับขั้วก็เคยเกิดมาแล้ว ขั้วเหนือกลายเป็นขั้วใต้ ขั้วใต้กลายเป็นขั้วเหนือ หลักฐานของการเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏชัดในหินโบราณ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เพียงครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและคาดการณ์ไม่ได้ ปรกติการสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นทุก 300,000 ปีโดยเฉลี่ย ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว
หรือว่าการเร่งความเร็วของขั้วแม่เหล็กโลกในช่วงหลังนี้จะเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่สนามแม่เหล็กโลกจะสลับขั้วอีกครั้งแล้ว?
จากการศึกษาบันทึกแม่แหล็กในแผ่นหินพบว่า ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกมีการเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่ตลอดเวลา และความจริงแล้วสนามแม่เหล็กโลกในขณะนี้มีความเข้มมากกว่าความหนาแน่นเฉลี่ย ในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า
ใจกลางโลกมีแกนชั้นในเป็นเหล็กแข็งที่มีอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับพื้นผิว ดวงอาทิตย์ ห่อหุ้มด้วยแกนชั้นนอกที่เป็นเหล็กหลอมเหลว แกนชั้นในหมุนรอบตัวเองเช่นเดียวกับผิวโลกแต่เร็วกว่าภายใต้แกนชั้นนอกที่ ปั่นป่วน การเคลื่อนที่ของเหล็กหลอมเหลวที่แกนโลกชั้นนอกทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้า ขึ้น สนามแม่เหล็กจึงเกิดขึ้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าปรากฏการณ์ไดนาโม
แกลตซ์มายเยอร์ และ พอล รอเบิตส์ ได้สร้างแบบจำลองของโครงสร้างภายในโลกด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยให้ความร้อนกับแกนชั้นในและแกนชั้นนอกปั่นป่วนเช่นเดียวกับของจริง หลังจากให้โปรแกรมวิ่งผ่านไปโดยจำลองให้เวลาผ่านไปเป็นเวลานับแสนปี พบว่าสนามแม่เหล็กของโลกจำลองนี้มีการเพิ่มและลดลง ขั้วแม่เหล็กมีการเคลื่อนที่ และบางครั้งก็มีการสลับขั้ว ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดกับโลกจริง
นอกจากนี้ยังพบว่าช่วงที่สนามแม่เหล็กสลับขั้วใช้เวลานานหลายพันปีจึงจะ เสร็จสิ้น และสิ่งที่เหนือความคาดการณ์ของคนทั่วไปก็คือ ช่วงนี้สนามแม่เหล็กไม่ได้หายไป แต่มีความปั่นป่วนซับซ้อนมากขึ้น เส้นแรงแม่เหล็กบริเวณพื้นผิวโลกมีการบิดเบี้ยวและขมวดปม ขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกที่ ขั้วใต้อาจเกิดขึ้นที่แอฟริกา หรือขั้วเหนืออาจผุดขึ้นที่ตาฮีตี แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด สนามแม่เหล็กก็ยังคงมีเหมือนเดิม และยังคงปกป้องโลกจากรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์
สนามแม่เหล็กโลก
การเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก
นับว่าเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกในขณะนี้ สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลกที่ นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ประหลาด อย่างเหตุการณ์สัตว์ตายทั่วโลกเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับโลกมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น
ล่าสุด เรื่องราวของการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ได้กลายเป็น Talk of the Town อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา สนามบินนานาชาติแทมป้า ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ได้ปิดรันเวย์บางรันเวย์ เนื่องจากการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันใหม่ เนื่องจากหมายเลขรันเวย์นี้สำคัญต่อนักบินมาก โดยจะเป็นตัวระบุว่ารันเวย์นั้นหันไปทิศทางใดและทำมุมกี่องศากับขั้วแม่ เหล็กโลกขั้วเหนือ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนไปกว่า 10 องศา ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมาย เลขรันเวย์จาก 18R/36L (ทำมุม 180 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 360 องศากับขั้วโลกใต้) มาเป็น 19R/1L (ทำมุม 190 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 10 องศากับขั้วโลกใต้) ขณะที่รันเวย์อีก 2 รันเวย์ก็กำลังจะถูกปิดเพื่อปรับหมายเลขรันเวย์ใหม่ในวันที่ 13 มกราคมนี้
อธิบายอิทธิพลของขั้วแม่เหล็กโลกที่มีต่อการบิน
สำหรับการปรับหมายเลขรันเวย์ จะปรับทุก 20-30 ปี เนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดย ในอดีตจะเคลื่อนที่จากจุดเดิมเฉลี่ยประมาณ 16 กิโลเมตรต่อปี แต่ในปัจจุบัน คาดว่าทางสนามบินทุกแห่งจะต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันบ่อยขึ้น เนื่องจากมีการตรวจสอบพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกนั้นเคลื่อนตัวเร็วขึ้นมาก คือ ประมาณ 64 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนตัวจากบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกในแคนาดา กำลังมุ่งตรงไปยังประเทศรัสเซียในปัจจุบัน รวมระยะทางกว่า 1,200 กิโลเมตรเลยทีเดียว
การเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลก แม้จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างต่อเนื่องตามวัฏจักร แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีนัก วิทยาศาสตร์หลายคนนำมาเชื่อมโยงกับการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก ที่คาดการณ์ว่ากำลังจะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 ที่จะถึงนี้ โดยวิเคราะห์กันว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนตัวเร็วขึ้นนั้น เป็นเพราะกำลังจะเข้าสู่ภาวะพลิกตัวหรือกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงขอนำเรื่องราวของการเคลื่อนตัวและการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกมาฝากกันอีกครั้งค่ะ
สนามแม่เหล็กโลก เกิดจากปรากฎการณ์ไดนาโมหรือการที่ของเหลวที่อยู่ภายในโลกมีการหมุนวน ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้าขึ้น จนเกิดเป็นสนามแม่เหล็ก ขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดย สนามแม่เหล็กนี้จะปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก และขั้วแม่เหล็กทั้งสองขั้วก็จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นอิสระจากกัน ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะมีการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก หรือการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกันตามวัฏจักรของ โลก ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวยังไม่มีทฤษฎีใดอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไรและใช้เวลา กลับขั้วนานเพียงใด แต่ที่แน่ ๆ คือสนามแม่เหล็กโลกจะมีการกลับขั้วทุก ๆ 250,000 - 300,000 ปีโดยเฉลี่ย หรืออาจคลาดเคลื่อนไปบ้างก็เป็นได้ และกระบวนการนี้จะค่อยเป็นค่อยไป แต่ระหว่างช่วงเวลานี้ก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นผิวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ น้อย โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 780,000 ปีก่อน และในครั้งนั้นก็มีความรุนแรงมากถึงขนาดทำให้สัตว์หลายชนิดบนโลกสูญพันธุ์มาแล้ว
สนามแม่เหล็กโลกที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก
จากการศึกษาและคาดคะเนของนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักธรณีฟิสิกส์พบว่า ปราก ฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้อาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 หลังจากพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกก็อ่อนกำลังลงกว่า 10% ซึ่ง ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วตามการคาดคะเน ในช่วงเวลาที่มันกำลังพลิกกลับนั้นก็อาจทำให้สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงมาก ถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะร้ายแรงอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม สนามแม่เหล็กโลกก็จะไม่ลดลงถึงระดับศูนย์ มันยังคงทำหน้าที่ของมัน คือ การปกป้องโลกจากอันตรายร้ายแรงภายนอกโลก และเคลื่อนไหวต่อไปตามวัฏจักร เพียงแต่ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว มันก็อาจส่งผลกระทบหลาย ๆ อย่างบนโลก ดังต่อไปนี้
1.
เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว เกิดภัยพิบัติบนผิวโลก
เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินถล่ม สึนามิหรือแผ่นดินไหวใต้น้ำ โดยปรากฎการณ์นี้จะไม่เกิดครั้งใหญ่ครั้งเดียวฉับพลันแล้วทำลายทุกสิ่ง
แต่จะค่อย ๆ เกิดรุนแรงขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยกินระยะเวลานานหลายปี
2. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เนื่อ งจากการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้สภาพอากาศบนโลกเปลี่ยนไปในทางตรง ข้าม เช่น ในพื้นที่ที่ร้อนจัดก็จะเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ส่วนพื้นที่ที่เคยหนาวจัดก็จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก ทำให้น้ำแข็งบริเวณพื้นที่หนาวละลายและเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไป หลายพื้นที่
3. โลกจะร้อนขึ้น เนื่อง จากความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จึงอาจทำให้โลกได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น
4. อุกกาบาต และวัตถุจากอวกาศจะถูกดึงเข้ามายังโลกได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เคลื่อนที่ผ่านจะพุ่งเข้าชนโลก เพราะอย่างไรก็ตาม ขั้วแม่เหล็กโลกยังคงปกป้องโลกอยู่ แม้จะอ่อนกำลังลงบ้างแต่จะไม่สูญเสียอำนาจของมันไปทั้งหมด
5. สัตว์หลายชนิดสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทาง ในโลกนี้มีสัตว์หลายชนิดที่อาศัยแม่เหล็กโลกในการกำหนดทิศทาง โดยพวกมันจะเดินทางและอพยพย้ายถิ่นไปทางขั้วโลกเหนือเสมอ ซึ่งหากแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้วหรือเพียงแค่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาก ก็อาจทำให้มันต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกมัน
6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกจะอ่อนแอลง สัตว์ เล็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานโรคน้อยกว่าสัตว์ใหญ่จะค่อย ๆ ล้มตายไปก่อน เช่น นก ปลา ค้างคาว และเมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอมากขึ้น สัตว์ที่ใหญ่กว่าก็จะค่อย ๆ ล้มตายไป
2. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เนื่อ งจากการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้สภาพอากาศบนโลกเปลี่ยนไปในทางตรง ข้าม เช่น ในพื้นที่ที่ร้อนจัดก็จะเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ส่วนพื้นที่ที่เคยหนาวจัดก็จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก ทำให้น้ำแข็งบริเวณพื้นที่หนาวละลายและเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไป หลายพื้นที่
3. โลกจะร้อนขึ้น เนื่อง จากความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จึงอาจทำให้โลกได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น
4. อุกกาบาต และวัตถุจากอวกาศจะถูกดึงเข้ามายังโลกได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เคลื่อนที่ผ่านจะพุ่งเข้าชนโลก เพราะอย่างไรก็ตาม ขั้วแม่เหล็กโลกยังคงปกป้องโลกอยู่ แม้จะอ่อนกำลังลงบ้างแต่จะไม่สูญเสียอำนาจของมันไปทั้งหมด
5. สัตว์หลายชนิดสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทาง ในโลกนี้มีสัตว์หลายชนิดที่อาศัยแม่เหล็กโลกในการกำหนดทิศทาง โดยพวกมันจะเดินทางและอพยพย้ายถิ่นไปทางขั้วโลกเหนือเสมอ ซึ่งหากแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้วหรือเพียงแค่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาก ก็อาจทำให้มันต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกมัน
6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกจะอ่อนแอลง สัตว์ เล็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานโรคน้อยกว่าสัตว์ใหญ่จะค่อย ๆ ล้มตายไปก่อน เช่น นก ปลา ค้างคาว และเมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอมากขึ้น สัตว์ที่ใหญ่กว่าก็จะค่อย ๆ ล้มตายไป
การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้ก็ไม่ได้สร้างปรากฎการณ์ที่ส่งผลให้สิ่งมี ชีวิตทุกชนิดบนโลกล้มตายไปเสียทั้งหมด โดยมีการคาดคะเนว่า สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่อาจเป็นสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่อยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตรในทะเล และสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่อาจมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงและอยู่ในพื้นที่ที่ได้ รับอิทธิพลจากปราฎการณ์ดังกล่าวเพียงเล็กน้อย แต่ หากรอดชีวิต สิ่งมีชีวิตก็ต้องพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ นา ๆ ของโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม ทั้งสภาพอากาศ กระแสลม กระแสน้ำ และโลกอาจหมุนกลับไปในทิศตรงกันข้าม ทำให้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งหากเวลานั้นมาถึง และสิ่งมีชีวิตยังคงมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันนานโขเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงการคาดคะเนจากนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น ช่วงเวลาของการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกอาจกินเวลานานนับพันปี และก่อให้เกิดปรากฎการณ์รุนแรงน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กล่าวมาก็เป็นได้ อีกทั้งยังอาจส่งผลรุนแรงที่สุดในปี 2012 หรือคลาดเคลื่อนไปนานกว่านั้น 10 ปีหรือ 100 ปีก็เป็นได้อีกเช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ ปรากฏการณ์การเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของขั้วแม่เหล็กโลก, การอ่อนกำลังลงของสนามแม่เหล็ก, การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ, การเกิดภัยพิบัติ, และการล้มตายของสัตว์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่าโลกกำลังเริ่มต้น เข้าสู่จุดเปลี่ยนในอีกไม่ช้า เหมือน ที่มันเคยเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนมีอารยธรรมมนุษย์เสียอีก และมันก็คงไม่ได้เป็นสิ่งที่เพ้อเจ้อหรือเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด ถ้าหากโลกใบนี้ยังเคลื่อนไหวตามวัฏจักรของมันอยู่ ก็คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งยิ่งใหญ่ในรอบแสน ปีกำลังจะมาบรรจบอีกครั้ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)