วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สนามแม่เหล็กโลก กับวันสิ้นโลก

เป็นที่ทราบกันมาเป็นเวลานานว่า ขั้วเหนือของแกนหมุนของโลกกับขั้วเหนือของสนามแม่เหล็กโลกไม่ได้อยู่ที่ เดียวกัน ขั้วเหนือของแกนหมุนอยู่ที่ละติจูด 90 องศา บนแผ่นน้ำแข็งของมหาสมุทรอาร์กติก ส่วนขั้วเหนือแม่เหล็กโลกอยู่ในเขตของประเทศแคนาดา เจมส์ รอสส์ สำรวจตำแหน่งของขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเป็นครั้งแรกในปี 1831 ในการสำรวจครั้งต่อมาในปี 1904 โดย โรอาลด์ อามุนด์เซน พบว่าตำแหน่งของขั้วเหนือเปลี่ยนไปจากเดิมราว 50 กิโลเมตร จึงได้ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนตำแหน่งด้วย
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมาตำแหน่งขั้วเหนือก็ยังคงเคลื่อนที่เรื่อย ๆ ด้วยอัตรา 10 กิโลเมตรต่อปี แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เคลื่อนที่เร็วถึง 40 กิโลเมตรต่อปี หากอัตราเคลื่อนที่ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ขั้วเหนือจะหลุดพ้นออกจากทวีปอเมริกาเหนือและไปอยู่ที่ไซบีเรียภายในอีกไม่ กี่สิบปีเท่านั้น
แลร์รี นูวิตต์จากคณะสำรวจทางธรณีวิทยาของแคนาดา กล่าวว่า เดิมตนมีหน้าที่ไปสำรวจวัดตำแหน่งของขั้วเหนือหลายๆ ปีต่อครั้ง แต่ในช่วงหลังจะต้องไปบ่อยขึ้นเนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วมาก
ไม่เพียงแต่ตำแหน่งของขั้วเปลี่ยนไปเท่านั้น ความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกยังลดลงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาอีกด้วย
หลังจากที่ข้อมูลนี้เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนในที่ประชุมสหภาพธรณีฟิสิกส์ อเมริกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ เรื่องถึงกับเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ทันทีว่า "สนามแม่เหล็กโลกกำลังหมดหรือ?"
แกรี แกลตซ์มายเยอร์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ออกมายับยั้งกระแสว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับในอดีต
ในอดีตสนามแม่เหล็กโลกเคยมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กว่านี้มาก ถึงขนาดสนามแม่เหล็กสลับขั้วก็เคยเกิดมาแล้ว ขั้วเหนือกลายเป็นขั้วใต้ ขั้วใต้กลายเป็นขั้วเหนือ หลักฐานของการเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏชัดในหินโบราณ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เพียงครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและคาดการณ์ไม่ได้ ปรกติการสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นทุก 300,000 ปีโดยเฉลี่ย ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเมื่อ 780,000 ปีที่แล้ว
หรือว่าการเร่งความเร็วของขั้วแม่เหล็กโลกในช่วงหลังนี้จะเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่สนามแม่เหล็กโลกจะสลับขั้วอีกครั้งแล้ว?
จากการศึกษาบันทึกแม่แหล็กในแผ่นหินพบว่า ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกมีการเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่ตลอดเวลา และความจริงแล้วสนามแม่เหล็กโลกในขณะนี้มีความเข้มมากกว่าความหนาแน่นเฉลี่ย ในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า
ใจกลางโลกมีแกนชั้นในเป็นเหล็กแข็งที่มีอุณหภูมิสูงใกล้เคียงกับพื้นผิว ดวงอาทิตย์ ห่อหุ้มด้วยแกนชั้นนอกที่เป็นเหล็กหลอมเหลว แกนชั้นในหมุนรอบตัวเองเช่นเดียวกับผิวโลกแต่เร็วกว่าภายใต้แกนชั้นนอกที่ ปั่นป่วน การเคลื่อนที่ของเหล็กหลอมเหลวที่แกนโลกชั้นนอกทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้า ขึ้น สนามแม่เหล็กจึงเกิดขึ้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าปรากฏการณ์ไดนาโม
แกลตซ์มายเยอร์ และ พอล รอเบิตส์ ได้สร้างแบบจำลองของโครงสร้างภายในโลกด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยให้ความร้อนกับแกนชั้นในและแกนชั้นนอกปั่นป่วนเช่นเดียวกับของจริง หลังจากให้โปรแกรมวิ่งผ่านไปโดยจำลองให้เวลาผ่านไปเป็นเวลานับแสนปี พบว่าสนามแม่เหล็กของโลกจำลองนี้มีการเพิ่มและลดลง ขั้วแม่เหล็กมีการเคลื่อนที่ และบางครั้งก็มีการสลับขั้ว ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดกับโลกจริง
นอกจากนี้ยังพบว่าช่วงที่สนามแม่เหล็กสลับขั้วใช้เวลานานหลายพันปีจึงจะ เสร็จสิ้น และสิ่งที่เหนือความคาดการณ์ของคนทั่วไปก็คือ ช่วงนี้สนามแม่เหล็กไม่ได้หายไป แต่มีความปั่นป่วนซับซ้อนมากขึ้น เส้นแรงแม่เหล็กบริเวณพื้นผิวโลกมีการบิดเบี้ยวและขมวดปม ขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกที่ ขั้วใต้อาจเกิดขึ้นที่แอฟริกา หรือขั้วเหนืออาจผุดขึ้นที่ตาฮีตี แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด สนามแม่เหล็กก็ยังคงมีเหมือนเดิม และยังคงปกป้องโลกจากรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์

สนามแม่เหล็กโลก


การเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก



          นับว่าเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกในขณะนี้ สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลกที่ นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ประหลาด อย่างเหตุการณ์สัตว์ตายทั่วโลกเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับโลกมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสนใจมากเท่านั้น

          ล่าสุด เรื่องราวของการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ได้กลายเป็น Talk of the Town อีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา สนามบินนานาชาติแทมป้า ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ได้ปิดรันเวย์บางรันเวย์ เนื่องจากการเคลื่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก ที่ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันใหม่ เนื่องจากหมายเลขรันเวย์นี้สำคัญต่อนักบินมาก โดยจะเป็นตัวระบุว่ารันเวย์นั้นหันไปทิศทางใดและทำมุมกี่องศากับขั้วแม่ เหล็กโลกขั้วเหนือ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนไปกว่า 10 องศา ทำให้ทางสนามบินต้องปรับหมาย เลขรันเวย์จาก 18R/36L (ทำมุม 180 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 360 องศากับขั้วโลกใต้) มาเป็น 19R/1L (ทำมุม 190 องศากับขั้วโลกเหนือ และ 10 องศากับขั้วโลกใต้) ขณะที่รันเวย์อีก 2 รันเวย์ก็กำลังจะถูกปิดเพื่อปรับหมายเลขรันเวย์ใหม่ในวันที่ 13 มกราคมนี้


อธิบายอิทธิพลของขั้วแม่เหล็กโลกที่มีต่อการบิน


          สำหรับการปรับหมายเลขรันเวย์ จะปรับทุก 20-30 ปี เนื่องจากขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดย ในอดีตจะเคลื่อนที่จากจุดเดิมเฉลี่ยประมาณ 16 กิโลเมตรต่อปี แต่ในปัจจุบัน คาดว่าทางสนามบินทุกแห่งจะต้องปรับหมายเลขรันเวย์กันบ่อยขึ้น เนื่องจากมีการตรวจสอบพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกนั้นเคลื่อนตัวเร็วขึ้นมาก คือ ประมาณ 64 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ขั้วแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนตัวจากบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกในแคนาดา กำลังมุ่งตรงไปยังประเทศรัสเซียในปัจจุบัน รวมระยะทางกว่า 1,200 กิโลเมตรเลยทีเดียว

          การเคลื่อนตัวของขั้วแม่เหล็กโลก แม้จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปอย่างต่อเนื่องตามวัฏจักร แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีนัก วิทยาศาสตร์หลายคนนำมาเชื่อมโยงกับการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก ที่คาดการณ์ว่ากำลังจะเกิดผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 ที่จะถึงนี้ โดยวิเคราะห์กันว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนตัวเร็วขึ้นนั้น เป็นเพราะกำลังจะเข้าสู่ภาวะพลิกตัวหรือกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงขอนำเรื่องราวของการเคลื่อนตัวและการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกมาฝากกันอีกครั้งค่ะ


          สนามแม่เหล็กโลก เกิดจากปรากฎการณ์ไดนาโมหรือการที่ของเหลวที่อยู่ภายในโลกมีการหมุนวน ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้าขึ้น จนเกิดเป็นสนามแม่เหล็ก ขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดย สนามแม่เหล็กนี้จะปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก และขั้วแม่เหล็กทั้งสองขั้วก็จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นอิสระจากกัน ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง จะมีการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก หรือการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกันตามวัฏจักรของ โลก ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวยังไม่มีทฤษฎีใดอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไรและใช้เวลา กลับขั้วนานเพียงใด แต่ที่แน่ ๆ คือสนามแม่เหล็กโลกจะมีการกลับขั้วทุก ๆ 250,000 - 300,000 ปีโดยเฉลี่ย หรืออาจคลาดเคลื่อนไปบ้างก็เป็นได้ และกระบวนการนี้จะค่อยเป็นค่อยไป แต่ระหว่างช่วงเวลานี้ก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นผิวโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ น้อย  โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 780,000 ปีก่อน และในครั้งนั้นก็มีความรุนแรงมากถึงขนาดทำให้สัตว์หลายชนิดบนโลกสูญพันธุ์มาแล้ว





สนามแม่เหล็กโลกที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก



          จากการศึกษาและคาดคะเนของนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักธรณีฟิสิกส์พบว่า ปราก ฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้อาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ในปี 2012 หลังจากพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกก็อ่อนกำลังลงกว่า 10% ซึ่ง ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วตามการคาดคะเน ในช่วงเวลาที่มันกำลังพลิกกลับนั้นก็อาจทำให้สนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังลงมาก ถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะร้ายแรงอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม สนามแม่เหล็กโลกก็จะไม่ลดลงถึงระดับศูนย์ มันยังคงทำหน้าที่ของมัน คือ การปกป้องโลกจากอันตรายร้ายแรงภายนอกโลก และเคลื่อนไหวต่อไปตามวัฏจักร เพียงแต่ถ้าหากสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว มันก็อาจส่งผลกระทบหลาย ๆ อย่างบนโลก ดังต่อไปนี้



  1. เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัว เกิดภัยพิบัติบนผิวโลก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินถล่ม สึนามิหรือแผ่นดินไหวใต้น้ำ โดยปรากฎการณ์นี้จะไม่เกิดครั้งใหญ่ครั้งเดียวฉับพลันแล้วทำลายทุกสิ่ง แต่จะค่อย ๆ เกิดรุนแรงขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยกินระยะเวลานานหลายปี

  2. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เนื่อ งจากการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกจะทำให้สภาพอากาศบนโลกเปลี่ยนไปในทางตรง ข้าม เช่น ในพื้นที่ที่ร้อนจัดก็จะเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ส่วนพื้นที่ที่เคยหนาวจัดก็จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก ทำให้น้ำแข็งบริเวณพื้นที่หนาวละลายและเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไป หลายพื้นที่

  3. โลกจะร้อนขึ้น เนื่อง จากความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอลง จึงอาจทำให้โลกได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น

  4. อุกกาบาต และวัตถุจากอวกาศจะถูกดึงเข้ามายังโลกได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เคลื่อนที่ผ่านจะพุ่งเข้าชนโลก เพราะอย่างไรก็ตาม ขั้วแม่เหล็กโลกยังคงปกป้องโลกอยู่ แม้จะอ่อนกำลังลงบ้างแต่จะไม่สูญเสียอำนาจของมันไปทั้งหมด

  5. สัตว์หลายชนิดสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทาง ในโลกนี้มีสัตว์หลายชนิดที่อาศัยแม่เหล็กโลกในการกำหนดทิศทาง โดยพวกมันจะเดินทางและอพยพย้ายถิ่นไปทางขั้วโลกเหนือเสมอ ซึ่งหากแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้วหรือเพียงแค่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมาก ก็อาจทำให้มันต้องเจอกับอุปสรรคครั้งใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพวกมัน

  6. ภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกจะอ่อนแอลง สัตว์ เล็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานโรคน้อยกว่าสัตว์ใหญ่จะค่อย ๆ ล้มตายไปก่อน เช่น นก ปลา ค้างคาว และเมื่อความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอ่อนแอมากขึ้น สัตว์ที่ใหญ่กว่าก็จะค่อย ๆ ล้มตายไป




   การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้ก็ไม่ได้สร้างปรากฎการณ์ที่ส่งผลให้สิ่งมี ชีวิตทุกชนิดบนโลกล้มตายไปเสียทั้งหมด โดยมีการคาดคะเนว่า สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่อาจเป็นสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู ปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่อยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตรในทะเล และสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่อาจมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงและอยู่ในพื้นที่ที่ได้ รับอิทธิพลจากปราฎการณ์ดังกล่าวเพียงเล็กน้อย แต่ หากรอดชีวิต สิ่งมีชีวิตก็ต้องพบเจอกับปัญหาต่าง ๆ นา ๆ ของโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางตรงกันข้าม ทั้งสภาพอากาศ กระแสลม กระแสน้ำ และโลกอาจหมุนกลับไปในทิศตรงกันข้าม ทำให้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งหากเวลานั้นมาถึง และสิ่งมีชีวิตยังคงมีชีวิตรอดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกันนานโขเลยทีเดียว

          ทั้งนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงการคาดคะเนจากนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น  ช่วงเวลาของการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกอาจกินเวลานานนับพันปี และก่อให้เกิดปรากฎการณ์รุนแรงน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กล่าวมาก็เป็นได้  อีกทั้งยังอาจส่งผลรุนแรงที่สุดในปี 2012 หรือคลาดเคลื่อนไปนานกว่านั้น 10 ปีหรือ 100 ปีก็เป็นได้อีกเช่นกัน  แต่ที่แน่ ๆ ปรากฏการณ์การเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของขั้วแม่เหล็กโลกการอ่อนกำลังลงของสนามแม่เหล็กการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศการเกิดภัยพิบัติ, และการล้มตายของสัตว์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้  สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังเตือนว่าโลกกำลังเริ่มต้น เข้าสู่จุดเปลี่ยนในอีกไม่ช้า เหมือน ที่มันเคยเกิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ก่อนมีอารยธรรมมนุษย์เสียอีก และมันก็คงไม่ได้เป็นสิ่งที่เพ้อเจ้อหรือเป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด ถ้าหากโลกใบนี้ยังเคลื่อนไหวตามวัฏจักรของมันอยู่ ก็คงไม่แปลกอะไรที่ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งยิ่งใหญ่ในรอบแสน ปีกำลังจะมาบรรจบอีกครั้ง



ซุปเปอร์โนวา



     ใน บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของอวกาศ มีดวงดาวระเบิดขึ้นมาเป็นครั้งคราว การระเบิดของดวงดาวขนาดใหญ่ นักดาราศาสตร์เรียกว่า ซูปเปอร์โนวา ซึ่งเป็นจุด อวสานของดวงดาวขนาดยักษ์ เมื่อเกิดการระเบิด ซุปเปอร์โนวาจะส่งแสงสว่าง โชติช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน ดวงดาวที่ถึงจุดจบจะหมดแสง ทิ้งร่องรอยเป็น ฝุ่นละอองบาง ๆ อยู่ในบริเวณที่มันระเบิดตัวเองให้เห็นในช่วงเวลาต่อมา    ดวงดาวที่จะมีสภาพเป็นซุปเปอร์โนวา จะต้องมีมวลอย่างน้อยที่สุดใหญ่ กว่าดวงอาทิตย์ 10 เท่าตัว เมื่อถึงใกล้จุดอวสาน ดวงดาวที่มีน้ำหนัก มากเช่นนั้น จะมีปฏิกิริยานิวเคลียร์อย่างรุนแรง ภายในซุปเปอร์โนวาซึ่งมีความร้อน สูงยิ่งกว่าไฟนรกหลายเท่าตัว ทำให้เกิดธาตุตามธรรมชาติขึ้นมา เพราะปฏิกิริยา ทางนิวเคบียร์ ธาตุธรรมชาติเหล่านี้จะกระจายตัวออกไปในอวกาศ แล้วในที่สุดธาตุ เหล่านี้ก็ถูกรวบรวมเป็นดาวดวงใหม่และบางทีอาจเป็นดาวเคราะห์ดวงใหม่หรือ ชีวิต ใหม่ นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นว่า อะตอมซึ่งประกอบเป็นโลกและชีวิตของเรานั้น เกิดขึ้นภายในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์จากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา เมื่อสมัยหลาย พันล้านปีมาแล้ว

              
แครบ เนบูลา (Crab Nebula)
          ในปี ค.ศ. 1054 นักดาราศาสตร์ประเทศจีน มองเห็นดาวดวงหนึ่งมีแสง สว่างโชติช่วงเจิดจ้า อยู่ในบริเวณกลุ่มดาว Taurus (กลุ่มดาววัว ) ดาวดวงนี้มี แสงสว่างจัดมาก จนมองเห็นได้ในเวลากลางวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ แล้วในที่สุด ก็มองไม่เห็นด้วยนัยน์ตาเปล่า ปรากฏการณ์ครั้งนั้นก็คือ นักดาราศาสตร์ประเทศจีน กำลังมองเห็นการระเบิดของซุปเปอร์โนวา ซึ่งปัจจุปันเมื่อนักดาราศาสตร์ใช้กล้อง ดูดาวส่องดูจะมองเห็นเศษธุลีหลงเหลือจากการระเบิดครั้งนั้น มีรูปร่างเหมือนปู จึงเรียกว่า แครบ เนบูลา หรือกลุ่มหมอกเพลิงปู (Crab Nebula)
          การเกิดของดาวนิวตรอนและหลุมดำ
          เมื่อซุปเปอร์โนวาระเบิด ดวงดาวทั้งดวงมิได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ใน บางกรณีภายหลังการระเบิดแล้ว ยังมีแกนกลางของซุปเปอร์โนวาเหลืออยู่เป็น ซุปเปอร์โนวามีอยู่มากมายในแกแลคซี่อื่น ๆที่อยู่เลยออกไปจากแกแลคซี่ ทางช้างเผือก แต่ซุปเปอร์โนวาที่ระเบิดภายในแกแลคซี่ของเราครั้งร้ายแรงเกิด ขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ และเมื่อมันระเบิดขึ้นมาแล้วก็จะบดบังแสดงสว่างของดาวทุก ดวงในท้องฟ้ายามกลางคืน

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตารางธาตุ

ตำแหน่งของธาตุไฮโดรเจนในตารางธาตุ

การ จัดธาตุให้อยุ่ในหมู่ใดของตารางธาตุจะใช้สมบัติที่คล้ายกันเป็นเกณฑ์ ในตารางธาตุปัจจุบันได้จัดให้ธาตุไฮโดรเจนอยู่ในคาบที่ 1 ระหว่างหมู่ IA กับหมู่ VIIA เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ให้ศึกษาสมบัติบางประการของธาตุไฮโดรเจนเปรียบเทียบกับสมบัติธาตุหมู่ IA และหมู่ VIIA 
เมื่อพิจารณาข้อมูลในตาราง พบว่าไฮโดรเจนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 1 และมีเลขออกซิเดชัน +1 ไฮโดรเจนจึงควรอยู่ในหมู่ IA คาบที่ 1 แต่ไฮโดรเจนมีสมบัติคล้ายธาตุหมู่ VIIA หลายประการคือ มีเลขออกซิเดชันได้มากกว่าหนึ่งค่า มีพลังงานไอออไนเซชันลำดับที่ 1 และอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูง มีสถานะเป็นแก๊ส ไม่นำไฟฟ้า เมื่อเกิดเป็นสารประกอบต้องการเพียง 1 อิเล็กตรอนก็จะมีการจัดอิเล็กตรอนเช่นเดียวกับฮีเลียมซึ่งเป็นธาตุในหมู่ VIIA คาบที่ 1 อยู่ระหว่างหมู่ IA กับ VIIA ดังปรากฏในตารางธาตุ

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีเวเกเนอร์


ในปี พ.ศ. 2458 นักอุตุนิยมวิทยาชาวเยอรมัน ชื่อ ดร. อัลเฟรด เวเกเนอร์ ได้ตั่งสมมติฐานว่า  ผืนแผ่นดินทั้งหมดบนโลกแต่เดิมเป็นผืนแผ่นเดียวกัน เรียกว่า พันเจีย ซึ่งเป็นภาษากรีก แปลว่า แผ่นดินทั้งหมด
พันเจียเ ป็นมหาทวีปคลุมพื้นที่จากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรพัน ทาลัสซา ซึ่งแบ่งมหาทวีปออกเป็น 2ส่วน ส่วนเหนือเส้นศูนย์สูตร คือ ลอเรเซีย และส่วนใต้เส้นศูนย์สูตร คือ กอนด์วานา

โรงเรียนเตรียมทหาร

ประวัติโรงเรียน

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2500 ฯพณฯ จอมพล ถนอม กิตติขจร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เสนอดำริต่อ สภากลาโหมว่าหากจะรวมโรงเรียนที่อยู่ในระดับการศึกษาเดียวกันจากกองทัพต่าง ๆ เป็นสถาบันเดียวกันก็จะเป็นการประหยัดงบประมาณ
ของชาติ ทั้งยังทำให้ผู้ศึกษามีโอกาสได้รู้จักคุ้นเคย มีความสนิทสนมกลมเกลียวมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดจิตใจร่วมกัน
แต่เยาว์วัย ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลเหล่านี้สามารถประสานงานกันได้ด้วยดีและปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ สภากลาโหมได้เห็นชอบ
ในดำรินี้เป็นเอกฉันท์ ในขั้นแรกให้รวมโรงเรียนเตรียมนายร้อย โรงเรียนเตรียมนายเรือ และโรงเรียนเตรียมนายเรืออากาศ เป็นโรงเรียน
เตรียมทหาร สังกัดกรมการศึกษาวิจัย กองบัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2501 จึงถือว่าวันที่ 27 มกราคมของทุกปี เป็นวันคล้าย
วันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ผู้บัญชาการคนแรกคือ พลเอก ปิยะ สุวรรณพิมพ์ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนีย์บุคคลของโรงเรียนเตรียมทหาร
ในปี พ.ศ.2506 กรมตำรวจได้ขอให้โรงเรียนเตรียมทหารรับนักเรียนเพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วย โรงเรียน
เตรียมทหารจึงเป็นศูนย์รวมเบื้องต้นสำหรับนายทหาร นายตำรวจ สมบูรณ์ครบถ้วยตามอุดมการณ์ที่ว่า "ความสามัคคี กลมเกลียว เป็นพลัง
อันสำคัญของชาติ" ในระยะแรกนั้นโรงเรียนเตรียมทหารยังไม่มีที่ตั้งถาวรได้ใช้อาคารโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ถนนราชดำเนิน
นอก กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่เรียนชั่วคราวต่อมาเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2504 โรงเรียนเตรียมทหารได้จัดให้มีพิธีวางศิลาฤกษ์สร้าง
โรงเรียนเตรียมทหารขึ้น ณ เลขที่ 1875 ถนนพระราม 4 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของกองสัญญาณทหาร
เรือ มีพื้นที่ประมาณ 35 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวา หลังจากได้สร้างโรงเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ย้ายมาอยู่ที่พระราม 4 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม
2504 ในปี พ.ศ.2522 กองพันทหารสื่อสาร กองบัญชากรกองทัพบกและกองร้อยทหารสื่อสาร ซ่อมบำรุงเขตหลังกองบัญชาการกองทัพบก ได้
ย้ายออกจากพื้นที่ที่อยู่ต่อเนื่องกัน โรงเรียนเตรียมทหารจึงได้รับพื้นนที่ทางด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ
เพิ่มอีก 91 ไร่ 62 ตารางวา รวมเป็น 127 ไร่ 9 ตารางวา
ในปี พ.ศ.2537 พลอากาศเอก วรนาถ อภิจารี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในเวลานั้นได้พิจารณาว่าสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของโรงเรียน
เตรียมทหารได้เปลี่ยนแปลงไป พื้นที่โดยรอบกลายเป็นย่านชุมชนหนาแน่นทั้งยังมีสภาพแวดล้อมเป็นมลพิษ อีกทั้งพื้นที่ของโรงเรียน
เตรียมทหารมีข้อจำกัดต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตนักเรียนเตรียมทหารและการพัฒนาโรงเรียนเตรียมทหารด้านต่าง ๆ ในอนาคต
จึงได้ปรึกษากับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ตั้งโรงเรียนเตรียมทการถึงการย้ายที่ตั้งโรงเรียน เตรียมทหาร
ไปยังสถานที่ตั้งแห่งใหม่ที่เหมาะสมซึ่งได้รับการสนับสนุนการก่อสร้างจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยได้มอบให้บริษัท
คริสเตียนนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตรย์ดำเนินการศึกษาความ
เป็นไปได้ต่าง ๆ ของโครงการย้ายโรงเรียนเตรียมทหาร รวมทั้งเสนอแนะพื้นที่ตั้งโครงการในที่สุดได้เลือกพื้นที่ตำบลศรีกะอาง อำเภอ
บ้านนา จังหวัดนครนายก เป็นที่ตั้งโรงเรียนเตรียมทหารแห่งใหม่ ได้รับ การสนับสนุนจากกองทัพบกเจ้าของพื้นที่มอบพื้นที่ให้ดำเนินการ
ประมาณ 2,460 ไร่ เป็นผลให้โครงการก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหารแห่งใหม่เกิดขึ้น โครงการก่อสร้างโรงเรียนเตรียมทหารแห่งใหม่ได้เริ่ม
ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2539 และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพลเอกหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมาร
เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันอังคาร ที่ 27 มกราคม 2541 ต่อมากองบัญชาการทหารสูงสุด ได้มีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายโรงเรียน เตรียมทหารมายังที่ตั้งแห่งใหม่ ณ เลขที่ 185 หมู่ 5 ตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก กำหนดระยะเวลา
ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 และให้สามารถเปิดการศึกษาได้ในเดือนพฤษภาคม 2543
โดยมีพิธีเคลื่อนย้ายโรงเรียนเตรียมทหารเข้าสู่ที่ตั้งในวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2543 วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2543
พลเอกหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรง ประกอบพิธีเปิดโรงเรียน

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เลือดของคนเรา

ลือ ดเป็นของเหลวในร่างกายที่อยู่ภายนอกเซลล์ ในร่างกาย
ของคนจะพบของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ประมาณ 63 เปอร์เซ็นต์ ของเหลวภายนอกเซลล์ 37 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแบ่งตามตำแหน่งที่อยู่คือ (1) น้ำเลือด ซึ่งจะพบภายในเส้นเลือด ประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ (2) ของเหลวระหว่างเซลล์ ได้แก่น้ำเหลือง ประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ และ (3) ของเหลวเฉพาะที่
เลือดมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ
      1. การลำเลียง เลือดสามารถลำเลียงสารไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เม็ดเลือดเป็นตัวขนส่งก๊าซ น้ำเลือดประกอบด้วยสารอาหารพวกน้ำตาล ไขมัน วิตามิน กรดอะมิโนและสารอื่นๆ และเลือดยังเป็นตัวขนส่งของเสียที่ได้จากเมาตาโบลิซึมหลายอย่างไปยังอวัยวะ ขับถ่ายและขนส่งสารที่ควบคุมการทำงานของกระบวนการต่างๆ
     2. การปรับสภาวะสมดุลของร่างกาย
         2.1 การปรับส่วนประกอบ ของของเหลวภายในเนื้อเยื่อ ของเหลวระหว่างเซลล์และของเหลวภายในเซลล์มาจากเลือด
         2.2 ในน้ำเลือดมีเกลือและโปรตีนหลายชนิด
         2.3 การปรับอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่โดยมีน้ำเลือดเป็นตัวรับความร้อนที่เกิด จากกระบวนการเมตาโบลิซึม เพื่อส่งไปยังผิวหนังและปอดให้ระบายความร้อนออกจากร่างกาย
          2.4 การป้องกัน เมื่อเส้นเลือดถูกทำลายจะมีการเสียเลือด และจะเกิดการะบวนการการแข็งตัวเพื่อปิดเส้นเลือด
ส่วนประกอบที่สำคัญของเลือด
     1. น้ำเลือด น้ำเลือดเป็นของเหลวค่อนข้างใส มีสีเหลืองอ่อน ประกอบด้วย
           1.1 น้ำประมาณร้อยละ 90 - 93 มีหน้าที่ละลายสารแขวนลอยและละลายสารต่างๆ ทำให้เกิดการมีประจุและนำความร้อน
           1.2 โปรตีนประมาณร้อยละ 7 - 10 ทำให้เลือดมีความหนืดและความดันออสโมซิส ช่วยปรับปริมาตรของเลือด รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเป็นบาดแผลและพวกแอนติบอดี โปรตีนที่สำคัญคือ ไฟบริโนเจน อัลบูมิน และ โกลบูลิน
           1.3 ก๊าซที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ ที่สำคัญ คือ ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
ส่วน ประกอบของน้ำเลือดมาจากแหล่งต่างๆ เช่น น้ำและสารที่มีประจุได้มาจากการดูดซึมจากทางเดินอาหาร อัลบูมินสร้างมาจากตับ และของเสียจะได้มาจากกระบวนการเมตาโบลิซึมของทุกเซลล์ที่มีชีวิต
           1.4 กลูโคส มีประมาณ 60 - 100 มิลลิกรัมใน 100 มิลลิลิตรของเลือด ทำหน้าที่เป็นแหล่งของพลังงานให้แก่เนื้อเยื่อต่างๆของ ร่างกาย
            1.5 เอนไซม์ มีหน้าที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีต่างๆ
     ถ้านำน้ำเลือดไปปั่นเพื่อให้เซลล์เม็ดเลือด เพลตเลต และโปรตีนแยกออกจากน้ำเลือดส่วนที่เหลือจะเป็นน้ำใสๆเรียกว่า ซีรัม
น้ำ เลือดทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ย่อยแล้ว เกลือแร่ ฮอร์โมน แอนติบอดี ไปให้เซลล์ที่ส่วนต่างๆของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยรักษาความเป็นกรด - เบส สมดุลของน้ำและรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย
     2. เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่สำคัญคือ ขนส่งก๊าซออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์ไปยังปอด ถ้านำเลือดของคนเรามาส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นเซลล์เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างกลมแบน ตรงกลางบุ๋มไม่มีนิวเคลียส มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7- 8 ไมโครเมตร
     เม็ดเลือดแดงมีรงควัตถุสีแดงเรียกว่า เฮโมโกลบินซึ่งเป็นโปรตีนที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ เฮโมโกลบินรวมตัวกับก๊าซต่างๆได้ดีมาก ถ้าไม่มีฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแล้วจะพบว่าใน 100 มิลลิลิตรของเลือดจะขนส่งออกซิเจนได้เพียง 1 มิลลิลิตร แต่ถ้ามีฮีโมโกลบินอยู่จะพบว่าใน 100 มิลลิลิตรของเลือดจะขนส่งออกซิเจนได้ถึง 20 มิลลิลิตร
     ถ้าหากฮีโมโกลบินในน้ำเลือดสูงมากกว่าในเซลล์ จะมีผลเพิ่มความเข้มข้นองน้ำเลือดทำให้กระทบกระเทือนต่อสมดุลออสโมซิส ทั้งยังทำให้เลือดมีลักษณะเป็นของเหลวหนืดๆมากจนไม่สามารถสูบฉีดออกจากหัวใจ ได้ ในคนนั้นเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดจะมีฮีโมโกลบินประกอบอยู่ด้วยถึง 280 ล้านโมเลกุล ฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงในคนปกติจะปล่อยอกซิเจนไปให้เซลล์ใช้ได้เพียง ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น นอกเสียจากขณะออกกำลังกายหรือทำงานหนักอาจปล่อยออกไปได้มากที่สุดถึง 72 เปอร์เซ็นต์
     ก๊าซที่เป็นอันตรายต่อการที่ฮีโมโกลบินนำออกซิเจนไปให้เซลล์ใช้มากให้ภาวะ การณ์ปัจจุบันนี้เห็นจะได้แก่คาร์บอนมอนนอกไซด์ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการเผา ไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของไอเสียรถยนต์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะก๊าซนี้จะเข้าไปแย่งออกซิเจนในการรวมตัวกัลฮีโมโกลบิน และยังเข้าไปรวมตัวอย่างถาวรโดยไม่ยอมปล่อยออกมาอย่างง่ายๆ เหมือนออกซิเจน ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ อาการที่จะปรากฎให้เห็นคือ หูอื้อ ตามัว หมดความรู้สึกและตายในที่สุด
     เซลล์เม็ดเลือดแดงมีเป็นจำนวนมากภายในร่างกาย ในผู้ชายมีประมาณ 5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร แต่ผู้หญิงจะมีประมาณ 4.5 - 5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
การสร้างเม็ดเลือดแดง
     ในระยะเอ็มบริโอเซลล์เม็ดเลือดแดงสร้างจากตับ ม้าม ไขกระดูก ภายหลังคลอดแล้วจะสร้างจากไขกระดูก เซลล์เม็ดเลือดแดงที่สร้างขึ้นใหม่ๆเป็นเซลล์ที่มีนิวเคลียสซึ่งเรียกว่า อีริโทรบลาสต์ ซึ่งสามารถสังเคราะห์ฮีโมโกลบินได้ เมื่อปริมาณของฮีโมโกลบินเพียงพอเซลล์เม็ดเลือดแดงก็ถูกปล่อยออกมาจากไข กระดูกเข้ามายังกระแสเลือด แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะไม่มีนิวเคลียสและไมโทคอนเดรีย
การทำลายเม็ดเลือดแดง
     เซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีอายุประมาณ 90 - 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกทำลายที่ม้าม แต่จำนวนของเม็ดเลือดแดงต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรของเลือดไม่เปลี่ยนแปลงเพราะ อัตราการผลิตเท่ากับอัตราของการทำลาย คือ ประมาณ 5 - 10 ล้านเซลล์ต่อวินาที ฉะนั้นตลอดอายุของคนเราจะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงทดแทนอยู่เสมอ โดยส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง เช่น เหล็กจะไม่ถูกกำจัดออกนอกร่างกายแต่จะนำมาสร้างเม็ดเลือดใหม่ได้อีก ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง และมะเร็งของเม็ดเลือดขาว อัตราการสร้างเม็ดเลือดแดงจะเกิดขึ้นน้อยและไม่สมดุลกับอัตราที่ถูกทำลาย
     3. เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวของคนมีประมาณ 6,000 - 9,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิลิตรของเลือด ในเด็กแรกเกิดจะมีเม็ดเลือดขาวมากที่สุด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว
             1.ฟาโกไซต์ เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวพวกที่ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมโดยวิธี ฟาโกไซโทซิส พวกนี้จะเจริญพัฒนาที่ไขกระดูก
            2.ลิมโฟไซต์ เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวพวกที่ทำหน้าที่สร้างสารขึ้นมาต่อต้านสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรค สารที่ถูกสร้างขึ้นเรียกว่า แอนติบอดี ซึ่งเป็นสารประเภทโปรตีน
     เซลล์เม็ดเลือดขาวยังมีสมบัติเฉพาะ คือ สามารถเคลื่อนที่ได้แบบอะมีบา แม้เม็ดเลือดขาวส่วนมากจะมีขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดง ก็ยังสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยเข้าสู่น้ำเหลืองไปตามเนื้อ เยื้อต่างๆได้ นอกจากนี้ยังสามารถเคลื่อนที่เข้าหาหรือเคลื่อนที่หนีสารเคมีหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารที่เกิดในตอนที่มีบาดแผลหรือเกิดการบวมอักเสบ
     เซลล์เม็ดเลือดขาวส่วนมากมีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 ไมโครเมตร เซลล์เม็ดเลือดขาวมีนิวเคลียสขนาดใหญ่ มีจำนวนน้อยกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงมาก เลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตรมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประมาณ 5,000 - 10,000 เซลล์ และจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
การสร้างเม็ดเลือดขาว
   การสร้างเม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นจากเซลล์ไขกระดูกเช่นเดียวกับเซลล์เม็ดเลือด แดง เซลล์เม็ดเลือดขาวบางส่วนจะพัฒนาที่ไขกระดูก แต่บางส่วนจะไปเจริญพัฒนาในเนื้อเยื่อน้ำเหลือง และต่อมน้ำเหลือง
     ในกรณีที่มีการอักเสบ จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขี้นมาก การอักเสบที่เกิดจากไวรัสหลายชนิด ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวจะลดลงกว่าปกติ เหตุนี้ เองในการตรวจร่างกายผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อหรือโรคอื่นๆ แพทย์จะตรวจหาปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวร่วมไปกับการตรวจนับเซลล์เม็ดเลือดแดง สำหรับการวินิจฉัยโรค
     หากมีการผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดแดงของไขกระดูกหรือไขกระดูกไม่ทำงานจะทำ ให้เซลล์เม็ดเลือดเกิดการบกพร่องหรือผิดปกติ ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับเลือดได้หลายโรค เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลิวคีเมีย
     4. เพลตเลต เพลตเลตมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น เกล็ดเลือด” “เศษเม็ดเลือดหรือแผ่นเลือดเพลตเลต เป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาซึมของเซลล์ชนิดหนึ่งในไขกระดูก ขาดเป็นชิ้นๆ แล้วจึงเข้าสู่เส้นเลือด มีนาดเล็กมาก รูปร่างไม่แน่นอน มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 - 2 ไมโครเมตร มีอายุประมาณ 10 วัน
การแข็งตัวของเลือด
    เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นหรือเส้นเลือดถูกทำลายจะมีกระบวนการหลายอย่างเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการไหลของเลือด การสูญเสียเลือดและรักษาปริมาณของเลือดให้คงที่ กระบวนการนี้เรียกว่าการแข็งตัวของเลือด ซึ่งประกอบด้วยการะบวนการสำคัญที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันดังนี้ (1) เส้นเลือดบีบตัวในขณะที่มีบาดแผล เพื่อช่วยลดปริมาณของเลือด (2) กลุ่มของแผ่นเลือดไปอุดปากแผลและ (3) เกิดการแข็งตัวของเลือด
     โปรตีนและเอนไซม์ที่ทำให้เลือดแข็งตัว ผลิตมาจากตับ ถ้าตับผิดปกติ เช่น เป็นโรคตับแข็ง ตับอักเสบ สารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดอาจจะผลิตไม่เพียงพอที่จะทำให้เลือดหยุดไหล ได้ นอกจากนี้ถ้าขาดวิตามินเคก็จะมีผลต่อการหยุดไหลของเลือดเช่นกัน



วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเกิดของซุปเปอร์โนวา

ในดาวฤกษ์นั้นจะประกอบด้วยธาตุต่างๆมากมาย ซึ่งธาตุส่วนใหญ่จะเป็นไฮโดรเจน ซึ่งจะอยู่ในแกนกลางของดาวฤกษ์ ซึ่งจะทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิวชันช่วยให้พลังงานแก่ดาวฤกษ์ ทำให้ดาวฤกษ์ทนต่อสภาพแรงโน้มถ่วงตัวเองได้ และดาวฤกษ์จะขยายตัวออกไปเรื่อยๆ  เมื่อไฮโดรเจน หรืออีเลียม หรือเชื้อเพลิงของดาวหมดไป แต่แรงขยายตัว  แรงดึงดูด  และความร้อนของดาว  ยังอยู่ ทุกสิ่งจะทำงานพร้อมกัน  แรงดึงดูดจะดูบางส่วนของดาวไปที่จุดศูนย์กลางทันที   อัตราขยายตัว เปลี่ยนแปลงเป็นแรงระเบิด ซึ่งจะทำให้เกิดธาตุต่างๆ 26ธาตุ นานอยู่15วินาที ร่องรอยเป็นเนบิวลาอยู่ในอาวกาศครับ

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผลเสียของการกินมาม่า

ผลเสียของการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อสุขภาพ




บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป : อาหารจานด่วนที่ไม่ควรบริโภค

         ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีเครื่องมือทันสมัยหลายแห่งกระจาย
อยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บะหมี่สำเร็จรูปส่วนใหญ่ผลิตจากข้าวสาลี มีไข่และเกลือเป็นส่วนผสมเพียงเล็กน้อย ส่วนผสมดังกล่าวจะถูกนำมานวดให้เข้ากันด้วยเครื่องจักรจนเข้ากันดีแล้ว จึงนำมาเข้าเครื่องอัดเส้นให้เป็นเส้นเล็ก ๆ และทำให้สุกด้วยน้ำร้อน จากนั้นจึงนำไปทอดในน้ำมันปาล์มซึ่งมีสารกันหืนอยู่เล็กน้อย ต่อจากนั้นจึงนำไปบรรจุซอง
หรือถ้วยโฟม สำหรับวางจำหน่ายต่อไป ภายในซองหรือถ้วยโฟมจะมีเครื่องปรุงเป็นถุงเล็ก ๆ ใส่ให้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผงชูรสผสมพริกไทย เวลารับประทานเพียงแต่เอาเส้นบะหมี่เทใส่ถ้วยเติมเครื่องปรุงแล้วเทน้ำร้อน ใส่ทิ้งไว้ 2 - 3 นาที ก็สามารถรับประทานได้ทันที
จึง นับว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารจานด่วนที่ให้ความสะดวกต่อผู้บริโภคมาก ทีเดียว แต่จากการตรวจวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่วางจำหน่าย ในท้องตลาด พบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน้ำหนัก 100 กรัม ให้พลังงาน 430 แคลอรี่ โปรตีน 12 กรัม ไขมัน 16 กรัม และคาร์โบไฮเดรต 60 กรัม โดยมีเกลือแร่ผสมอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากข้อมูลนี้ เมื่อนำมาพิจารณาถึงประโยชน์ของสารอาหารที่ได้รับจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พบว่าโปรตีนที่ได้เป็นโปรตีนที่มาจากพืชคือข้าวสาลี ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีสัดส่วนของกรดอะมิโนไม่ครบถ้วนเหมือนโปรตีนจากสัตว์ ส่วนสารอาหารที่เหลือเป็นคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ดังนั้นในการรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวในแต่ละมื้อ อาจจะทำให้เกิดการขาดสารอาหารได้เพราะส่วนใหญ่แล้วมักจะรับประทานบะหมี่กึ่ง สำเร็จรูปโดย
ไม่ได้ปรุงแต่งหรือเติมเนื้อสัตว์และผักสด
ดังนั้นท่านผู้ฟังทุกท่านจึงควรจะตระหนักถึงสารอาหารที่ได้รับนอกเหนือจากความอิ่มท้องเท่านั้น
นอกจากการนำเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาใส่น้ำร้อนรับประทานเป็นบะหมี่น้ำแล้ว เด็ก ๆ จำนวนมากนิยมนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมารับประทานโดยตรงแทนอาหารว่าง โดยเฉพาะในช่วงเวลาเดินทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน หรือระหว่างช่วงเวลาพักผ่อน การรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในลักษณะแบบนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เป็นอย่างมาก เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้ส่วนมากมีรสค่อนข้างจัด เมื่อเส้นบะหมี่ตกถึงกระเพาะจะดูดน้ำส่วนอื่นของร่างกาย ทำให้มีอาการคล้ายกับการขาดน้ำ นอกจากนี้ถ้าหากมีการใส่เครื่องปรุงเข้าไปด้วย จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายมากขึ้นจากอาการรับประทานผงชูรสปริมาณมาก ทำให้เกิดอาการคอแห้ง มึนศีรษะ เวียนศีรษะ เป็นต้น
แม้ ว่าอาการเหล่านี้จะไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรตระหนักในการเลือกรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในวัยเด็กควรจะมีข้อควรระวังในเรื่องของเวลาที่จะรับประทานด้วย เพราะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่มักจะรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนเวลาอาหาร และรับประทาน
ในลักษณะของว่างโดยไม่มีเนื้อสัตว์หรือผักสดเป็นส่วนผสมเลย กรณีเช่นนี้จะทำให้เด็กได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และยังทำให้เด็กรู้สึกอิ่ม เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารทำให้รับประทานอาหารในมื้อหลักนั้น ๆ ได้น้อยลง ถ้าพฤติกรรมการบริโภคดังกล่าวนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เด็กได้ รับสารอาหาร
ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้พัฒนาการด้านร่างกายและสติปัญญาลดน้อยลง

แม้ ว่าในภาวะที่ต้องดำเนินชีวิตอย่างเร่งรีบแข่งขันกับเวลา อาหารกึ่งสำเร็จรูปจะยังมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะช่วยประหยัดเวลาในการเตรียมอาหารในแต่ละมื้อแต่ละวันได้เป็นอย่างดี แต่การนำอาหารกึ่งสำเร็จรูปมาใช้ อย่ามองเพียงในแง่ความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะพิจารณาและให้ความสนใจด้วยว่าจะใช้อาหารกึ่งสำเร็จรูปอย่างไรจึงจะ ให้ประโยชน์
สูงสุดและคุ้มค่าที่มากที่สุด ดังนั้นการรับประทานอาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างชาญฉลาดและให้ได้รับคุณ ค่าทางอาหารครบถ้วน ควรจะมีการเพิ่มเนื้อสัตว์ ผัก ไข่ และเครื่องปรุงอื่น ๆ เข้าไปในอาหารจานด่วนชนิดนี้ด้วย ซึ่งแม้ว่าจะเสียเวลาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่คุณค่าทางอาหารที่ท่านได้รับจะเต็มรูปแบบและเต็มคุณค่าตามที่ร่างกายต้อง การ โดยเฉพาะในผู้บริโภควัยเด็กที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ความหิวอาจจะทำให้เด็กรับประทาน
อะไรที่ง่าย ๆ และสะดวก แต่ด้อยคุณค่ากว่าที่ควรจะเป็น


โรคหลอดเลือดในสมองแตก


โรคหลอดเลือดสมองแตก

 
โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหลอดเลือดสมอง โดยทั่วไปมักเรียกว่าโรคอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต โรคนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน อาจเกิดจากการตีบตันที่หลอดเลือดสมองเอง หรือเกิดจากการมีลิ่มเลือดหลุดจากที่อื่น เช่น จากหัวใจ และจากหลอดเลือดที่บริเวณคอมาอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำให้สมองบางส่วนขาดเลือด ส่วนโรคหลอดเลือดสมองแตกเกิดจากการแตกของหลอดเลือดสมอง ทำให้มีเลือดออกมาคั่ง และทำลายเนื้อสมองในบริเวณนั้น นอกจากนี้อาจกดเบียดสมองส่วนที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้สมองส่วนนั้นทำหน้าทั่ไม่ได้ตามปกติ เกิดอาการอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต
โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาที่พบ บ่อย และสำคัญของประเทศซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 การป้องกันในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง การวินิจฉัย และรักษาที่ทันเวลา ช่วยลดความพิการ และอัตราตาย รวมทั้งลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ โรคหลอดเลือดสมองจัดเป็นภาวะเร่งด่วนทางอายุรศาสตร์ และศัลยศาสตร์ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ การขาดเลือดของสมองทำให้เซลล์สมองตายมากขึ้นเมื่อเวลานานขึ้นจึงควรรีบให้ การรักษาอย่างรวดเร็ว

สาเหตุ
  1. สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน ได้แก่ ภาวะหลอดเลือดแข็ง ซึ่งเกิดจากการเสื่อมของผนังหลอดเลือด มีไขมัน และหินปูนมาจับ พบได้ทั้งในหลอดเลือดสมองเอง และหลอดเลือดใหญ่ที่คอ มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่สูบบุหรี่
  2. บางคนเกิดจากโรคหัวใจที่มีลิ่ม เลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมอง เช่น โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  3. ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดสมองอักเสบ และโรคเลือดบางชนิด
  4. ส่วนสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองแตกที่สำคัญที่สุด คือ โรคความดันโลหิตสูง บางรายอาจเกิดจากหลอดเลือดสมองผิดปกติแต่กำเนิด

อาการ
  1. เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกายทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานทุกระบบ เช่น การเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่างๆ เป็นต้น สมองในตำแหน่งต่างๆ ทำหน้าที่แตกต่างกันไป ดังนั้นอาการของโรคหลอดเลือดสมองจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดโรคหากสมองส่วนใดสูญเสียการทำงานไป ก็จะเกิดอาการผิดปกติของร่างกายในระบบที่สมองบริเวณนั้นควบคุมอยู่ อาการมักเกิดอย่างรวดเร็ว หรือทันทีทันใด เนื่องจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงทันที แต่ในบางครังอาจมีอาการแบบเป็นๆ หายๆ หรือค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลาอันสั้น
  2. อาการที่พบบ่อยมีหลายอย่าง ได้แก่ อ่อน แรงของร่างกายครึ่งซีก ชาครึ่งซีก เวียนศรีษะ ร่วมกับเดินเซ ตามัว หรือมองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง ปวดศรีษะ อาเจียน ซึม ไม่รู้สึกตัว ที่สำคัญคืออาการดังกล่าวข้างต้น หากเกิดขึ้น และหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ถือเป็นอาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ท่านควรไปพบแพทย์ด่วน พึงระลึกไว้เสมอว่าเมื่อมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอย่ามัวรอดูอาการ
  3. หลังจากเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงได้หลายลักษณะ คือ บางคนจะดีขึ้นเองภายใน 24 ชั่วโมง บางคนอาการแย่ลงภายใน 1-3 วันแรกจากหลอดเลือดสมองมีการอุดตันมากขึ้น บางคนอาการมากที่สุดในตอนแรกเกิดอาการและคงที่ และบางคนเกิดปัญหาสมองบวมตามมาซึ่งอาจทำให้อาการทรุดหนักซึ่งโดยทั่วไปมัก เกิดภายใน 3-4 วันแรก หลังจากพ้นระยะนี้ไปจะเป็นช่วงการฟื้นตัว ซึ่งแต่ละคนจะมีการฟื้นตัวได้ไม่เท่ากัน บางรายสามารถฟื้นได้เป็นปกติ บางรายอาจยังมีความพิการหลงเหลืออยู่



อาการเตือน
  1. อาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หรือไม่มีแรงครึ่งซีกที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด หรืออาการชาของแขน หรือขาซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเป็นครั้งคราว
  2. ภาวะที่มีอาการชาหรืออ่อนแรงของใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง
  3. อาการสับสน ระดับการรับรู้เปลี่ยนแปลงไปในทางเลวลง ภาวะที่พูดลำบาก กระตุกกระตักหรือพูดไม่ชัด โดยอาการเป็นชั่วคราว หรืออาจจะนึกพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว
  4. ภาวะที่ตามืดหรือมองไม่เห็นไปชั่วครู่ หรืออาจจะเห็นแสงที่ผิดปรกติ หรือเห็นภาพซ้อน จัดเป็นอาการผิดปกติของการมองเห็น
  5. อาการวิงเวียนบ้านหมุน หรือเป็นลม เดินเซ ไม่สามารถทรงตัวได้
  6. อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยปวดมาก่อน มักเกิดขึ้นขณะปฏิบัติกิจกรรมที่เคร่งเครียด หรือกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ที่รุนแรง
  7. กลืนอาหารสำลักบ่อยๆ
การวินิจฉัย
  1. อาศัยการซักถามประวัติอาการของ ผู้ป่วยโดยละเอียดการตรวจร่างกายทั่วไป และการตรวจร่างกายทางระบบประสาท รวมทั้งการตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์
  2. การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง โดยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจค้น สามารถให้การวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง ลักษณะเฉพาะของโรคหลอดเลือดสมองคือ มีปัจจัยเสี่ยง อาการเกิดขึ้นทันทีทันใด มีความผิดปกติทางระบบประสาทจากการสูญเสียหน้าที่ของสมองอธิบายได้ตามรอยโรค ของพื้นที่ที่สมองขาดเลือดจากเส้นเลือดจำเพาะ
  3. การตรวจภาพถ่ายทางรังสีของสมอง และหลอดเลือดสมอง CT, MRI ของสมอง ตรวจหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง เลือดออกในสมอง หรือสมองขาดเลือด ในภาวะสมองขาดเลือด MR Diffusion weight image (DWI) ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อสมองขาดเลือดเร็วขึ้นใน 3 ชม.
  4. MR Spectroscopy, PET, SPECT ตรวจการทำงานสมอง
  5. Cerebral angiography การฉีดสีเข้าเส้นเลือด และถ่ายภาพเอ็กซเรย์เส้นเลือดสมองเป็นวิธีมาตราฐานในการวินิจฉัยโรคหลอด เลือดสมอง ปัจจุบันมีการพัฒนา CT และ MRI เพื่อให้เห็นภาพเส้นเลือดสมองทดแทน ได้แก่ CT.Angiography (CTA), MR Angiography (MRA) เส้นเลือดแดง, MRVenography (MRV) เส้นเลือดดำ
  6. การตรวจด้วยคลื่นเสียง อุลตราโซนิค DUPLEX ultrasound เพื่อตรวจวัดขนาดภายในหลอดเลือดที่คอ ภาวะการตีบ และอุดตันของเส้นเลือดนอกกะโหลกศีรษะ Transcranial Doppler ultrasound (TCD) ตรวจวัดความเร็วในหลอดเลือดของเส้นเลือดสมอง เพื่อหาความผิดปกติจากการตีบตัวหรือการอุดตัน

การรักษา
  1. การรักษาในระยะแรกทำได้ยาก เรื่องสำคัญ คือต้องพยายามทำให้เลือดหยุด ลดความดันในสมอง ช่วยให้สัญญาณชีพอยู่ในภาวะปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดันโลหิต
  2. พิจารณาใช้ยาลดความดันโลหิต ยาลดสมองบวม โดยปรับขนาดของยาตามความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
  3. พิจารณาใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด และยาระงับชัก เมื่อมีข้อบ่งชี้
  4. เฝ้าติดตามอาการของผู้ป่วยอย่าง ใกล้ชิด ตรวจบันทึกอาการแสดงของภาวะความดันในสมองเพิ่มสูงขึ้น ระดับความรู้สึกตัว ติดตามความรุนแรงของอาการปวดหัว
การผ่าตัด
  1. ในรายที่มีเลือดออกจำนวนมาก ผู้ป่วยมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว บางรายอาจต้องผ่าตัดเพื่อเย็บซ่อมหลอดเลือดที่ฉีกขาด
  2. เวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแตก ตีบ และตัน โดยเฉพาะ 3 ชั่วโมงแรกที่มีอาการ ดังนั้น ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทางสมองภายในระยะดังกล่าว แพทย์อาจจะใช้ยาฉีดเพื่อละลายลิ่มเลือดให้เลือดไหลเวียนได้ปกติ แต่ยานี้จะใช้ได้ในบางรายเท่านั้น หลังจากนั้นแพทย์อาจจะรับตัวไว้รักษาในห้องรักษาผู้ป่วยหนัก เพื่อให้ยา และสังเกตอาการรวมทั้งการหลับ ตื่น การตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ การเคลื่อนไหว การกลืนอาหาร เมื่อพ้นระยะเฉียบพลันไปแล้ว 4 - 5 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ผู้ป่วยจะถูกย้ายไปรักษาในหอผู้ป่วยหลอดเลือด
  3. สำหรับการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัด อาจจะเริ่มภายใน 1 - 2 วันแรก แล้วทำกายภาพอย่างต่อเนื่องหลังจากอาการต่างๆ คงที่

การผ่าตัดในกรณีภาวะเส้นเลือดแตกในสมอง (hemorrhagic stroke)
  1. การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะเอาก้อนเลือดออก craniotomy remove blood clot
  2. การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะหนีบเส้นเลือดสมองโป่งพอง craniotomy aneurysm clipping
  3. การตัดต่อเส้นเลือดสมองเพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองในกรณีที่มีการทำลายเส้นเลือด vascular bypass and revascularization
  4. การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะตัดเส้นเลือดผิดปกติออก craniotomy resection of AVM, AVF
  5. การผ่าตัดเปลี่ยนทางเดินน้ำหล่อ โพรงสมองเมื่อเกิดภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง ผ่าตัดระบายน้ำในโพรงสมองออกนอกร่างกาย หรือระบายลงช่องท้อง CSF diversion
  6. การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะลดความดันในกะโหลกศีรษะ decompressive craniectomy
การป้องกัน
  1. ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี วัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง เจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด เป็นระยะตามที่แพทย์แนะนำ ตรวจร่างกายว่ามีความผิดปกติของหัวใจหรือไม่ ถ้าผิดปกติต้องควบคุม และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. เลิกสูบบุหรี่ พบว่าการเลิกสูบบุหรี่สามารถลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ครึ่งหนึ่ง
  3. ลดน้ำหนักถ้ามีน้ำหนักเกิน งดอาหารรสเค็ม และไขมันสูง
  4. ออกกลังกายสมำเสมอ
  5. ผ่อนคลายความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
  6. ในรายที่มีความเสี่ยงอาจเกิดโรค หลอดเลือดสมองตีบได้ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยากันเลือดแข็งตัวเพื่อป้องกันอัมพาต ควรปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามคำแนะนำอย่างใกล้ชิด
  7. ในรายที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน ต้องรับประทานยาป้องกันการเกิดซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่งดยาเอง
  8. ถ้ามีอาการที่สงสัยว่าอาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองดังกล่าวข้างต้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที


วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ Allergy

โรค ทางเดินหายใจเป็นโรคที่พบมากของประเทศไทยโดยเฉพาะประชาชนในเขตเมืองเนื่อง จากมลภาวะและภูมิแพ้ บทความนี้จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิแพ้ในหลายแง่มุมที่คุณควรจะรู้

โรคภูมิแพ้ Allergy คืออะไร

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่าง กายเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ allergen จากสิ่งแวดล้อมซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียก ว่า IgE antibody ตัว antibody นี้จะกระตุ้น Mast cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อาการแสดงจะเกิดตามอวัยวะต่างๆ เช่นลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูก แน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืด บางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ Anaphylaxis shock

คนเราเป็นภูมิแพ้ได้อย่างไร

เนื่องจากเกิดโรคภูมิแพ้เป็นจำนวนมากจึงได้มีการวิจัยหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้

  • กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว เช่นพ่อแม่ พี่น้อง ก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย เด็กชายเป็นมากกว่าเด็กหญิงหากพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เด็กจะเป็นภูมิแพ้ ได้ร้อยละ 30 แต่หากทั้งพ่อและแม่เป็นภูมิแพ้เด็กจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 50-60

  • สิ่ง แวดล้อมของเด็กในขวบปีแรกสำคัญมาก การสัมผัสควันบุหรี่ ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดรังแคสัตว์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การรับประทานอาหารสำเร็จรูป เหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้

  • การติดเชื้อไวรัสในวัยเด็ก การที่มีเชื้อ lactobacillus ในลำไส้หรือการอาศัยใกล้ฟาร์มสัตว์จะลดอุบัติการณ์ของภูมิแพ้

การหลีกเลี่ยงหรือนำสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ออกจากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเป็นการรักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะทำให้ลดอาการของโรคภูมิแพ้และลดปริมาณการใช้ยา
ทำไมคนในเมืองถึงเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นพบว่าปัจจัยที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง

  • คนในเมืองอยู่บ้านมาก ติดเครื่องปรับอากาศ ไม่ออกกำลังกายทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

  • เด็กกินนมแม่น้อยลง ผู้คนรับประทานอาหารจานด่วนมาก ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้ามามาก เช่น สี สารกันบูด

  • คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านเพิ่ม

  • การตกแต่งบ้าน ติดตั้งพรมและติดเครื่องปรับอากาศทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี เชื้อไรฝุ่นเจริญได้ดี

  • มลภาวะจากอุตสาหกรรม และการจราจร

  • การสูบบุหรี่

สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในบ้าน

สารก่อโรคภูมิแพ้ในบ้านจะพบได้ตลอดปีและเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคภูมิแพ้ คัดจมูก โรคหอบหืด ผื่นแพ้ eczema สารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญได้แก่

  • ไรฝุ่นพบมากบนที่นอน โซฟา

  • สะเก็ดรังแคสัตว์ ขนสัตว์ น้ำลาย และเหงื่อของสัตว์เลี้ยง

  • ขนนก ของเสียแมลงสาบ รา

 วิธีป้องกันสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
 

  • เปิด หน้าต่างให้เกิดการถ่ายเทของอากาศ โดยเฉพาะห้องครัว ห้องน้ำโดยเปิดหน้าต่างอย่างน้อยครั้งละ 1 ชั่วโมงเปิดวันละสองครั้งหากแพ้เกสรควรปิดหน้าต่างโดยเฉพาะช่วงที่มี เกสรดอกไม้มาก

  • ไม่ควรตากผ้าในห้องนอนและห้องนั่งแล่น

  • ถ้าห้องมีความชื้นมากให้เปิดให้อาการถ่ายเทให้มาก

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้

  • ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนไว้ในบ้านโดยเฉพาะในห้องนอน

  • ไม่ควรตกแต่งห้องนอนด้วยพรม หรือมีตุกตา มั่นเช็ดฝุ่นบ่อยๆ

  • ห้องนอนไม่ควรจะมีชั้น หรือหนังสือ

  • เครื่องนอนควรจะซักและต้มสัปดาห์ละครั้ง

  • งดบุหรี่ หรือทาสีในบ้าน

  • หมั่นทำความสะอาด และดูดฝุ่นบ้านและม่านกันแดด

  • กำจัดเศษอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ